วันจันทร์, ธันวาคม 18, 2549

บัว ๔ เหล่า

วันนี้ ขอเขียนเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสเกี่ยวกับประเภทของคน ในที่นี้อาจจะมองไปถึงพนักงานในบริษัท ลูกน้อง หรือ ตัวเราเองก็ได้ว่าเป็นประเภทไหน หรืออยากเป็นประเภทไหนก็เลือกเอา

เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่เนื่องจากพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชน ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า ดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะแสดงธรรมเพื่อมวลมนุษยชาติต่อไป
บัว ๔ เหล่า ได้แก่
๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)

๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปจิตัญญู)

๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)

๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)


มี Version ภาษาอังกฤษ เพิ่มเติม
(Buddhist value: Like a lotus flower that grows out of the mud and blossoms above the muddy water surface, we can rise above our defilements and sufferings of life)

Imagine that you are a lotus seed buried beneath a muddy lotus pond. There is mud all around you, and you can feel them clearly. Above you, above this muddy pool of dirt, mud and filth, are sunshine and air. You are not disheartened as you begin your journey towards the surface.

With a determined heart, you begin to wiggle in the earth. You grow roots deep, deep into the mud. Your little stem grows up slowly. Suddenly, "pop" you are out of the mud! Your stem grows higher and higher, taller and taller. You rise up slowly, fighting against the muddy water. All of a sudden, you are out of the muddy pond! You reach up towards the warm sun, shining down on you.
Your lotus bud begins to grow on top of your stem. It expands and grows larger and larger, finally bursting into full bloom. A white lotus flower. You stand beautifully above the muddy water, not dirtied by the mud from which you grow. You are white, fragrant and beautiful.

Everyone who saw you marvelled at your beauty! Your determination to grow out of the muddy pond reminds them of the Buddha and his journey towards Enlightenment. The Buddha, like a lotus, is determined to grow out of the muddy surroundings, that is the defilements and sufferings of life. He has done all that is to be done and he is showing us that we can all do it too. We may have defilements but we all have the potential of growing out of our defilements and achieving wisdom, like the Buddha.

You are a beautiful white lotus flower, and your role is to remind people to rise above their defilements and sufferings, just as you are arising above the muddy water and not dirtied by the mud from which you grow.

Signaling Theory

Money Game : วิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล
Signaling Theory (1)
Signaling Theory หรือ ทฤษฎีการส่งสัญญาณ เป็นทฤษฎีที่นักลงทุนควรศึกษาถึงพฤติกรรมที่บริษัทหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ส่งสัญญาณให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาหุ้นได้ พฤติกรรมที่เกิดกับ Signaling Theory ที่ควรศึกษามีดังนี้


กรณีที่หนึ่ง : การที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ยอมซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท (Commitment of major shareholders) ถึงแม้ว่าราคาหุ้นเพิ่มทุนจะมีมูลค่าใกล้เคียง หรือสูงกว่าราคาของหุ้นที่ซื้อขายในตอนนั้น ซึ่งหมายถึง ผู้ถือรายใหญ่ยังคงมีความผูกพันหรือ Commitment กับบริษัท และจะยังคงไม่ละทิ้งบริษัทไป ภายหลังจากการเพิ่มทุนสำเร็จแล้ว ในภาษาการเงินเราเรียกว่า Full recapitalizations ราคาหุ้นมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงในการล้มละลายลดลงอย่างมาก จากสถิติที่ผมรวบรวมมา การเพิ่มทุนโดยที่มี Commitment ของ Major shareholders หุ้นตัวนั้นจะมีราคาปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายหลังจากนั้นเลยทีเดียว

กรณีที่สอง : การซื้อหุ้นคืนจากตลาดหลักทรัพย์ (Shares repurchased) อาจจะเรียกว่า การทำ Treasury stocks โดยที่ผู้บริหารอาจมองว่า ราคาหุ้นของบริษัทตนเองมีราคาต่ำเกินไป จึงได้ใช้สถานะเงินสดที่บริษัทมีอยู่ซื้อหุ้นคืน โดยทำการซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นรายย่อยทั่วไป การที่หุ้นกู้ซื้อคืนไป จะทำให้จำนวนหุ้นลดลงเท่ากับจำนวนที่ซื้อคืน และทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น ถ้าหุ้นที่ทำ Treasury stocks ไม่สามารถขายคืนให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ และบริษัทถึงจะทำการลดทุนจดทะเบียน ถึงแม้ว่าการซื้อหุ้นคืน อาจเป็นการคาดการณ์โดยผู้บริหารส่งหุ้นที่มีราคาถูก แต่อีกนัยหนึ่งคือ บริษัทไม่สามารถทำการเติบโตโดยวิธีอื่นได้อีก คือ ไม่สามารถหาโครงการใหม่ๆ ที่ทำกำไรให้บริษัทได้ บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร
ฉะนั้น บริษัทที่มี Shares repurchased นั้น ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นไม่มาก เท่ากับ P/E ที่ลดลงนั่นเอง

กรณีที่สาม : Signaling ที่การส่งสัญญาณที่ดีที่สุดของราคาหุ้น คือ การที่บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cashflow from operations) หลังลบด้วยกระแสเงินสดจากการลงทุน (Cashflow from investment) หรือเราเรียกในภาษานักการเงินว่า "Free cash flow" เป็นบวก และถ้าเป็นบวกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากว่ากระแสเงินสดส่วนที่เกิดจากเงินลงทุนจะนำไปคืนเงินกู้หรือจ่ายเงินปันผลเพิ่ม ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มความมั่งคั่งให้กับผู้ถือหุ้นนั่นเอง
หรือ Signaling ที่มีผลต่อราคาหุ้นอีกอย่างหนึ่ง คือ การเริ่มจ่ายเงินปันผลของบริษัท หลังจากไม่ได้จ่ายเป็นเวลานาน การเริ่มจ่ายเงินปันผลนี้เองเราเรียกว่า "Dividend signaling"

Signaling Theory (ตอนที่ 2)
กรณีที่สี่ มีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ที่เป็นบวก (Positive) ระหว่างบริษัทที่กำลังเข้ากลุ่มฟื้นฟูกิจการกับบริษัทที่มีบริษัทร่วม (Associated Company) มาก ๆ (บริษัทร่วม หมายถึง การที่บริษัทแม่ถือหุ้นในระดับ 20-50%) เพราะฉะนั้น นักลงทุนควรจะใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับบริษัทที่มีบริษัทร่วมจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทแม่สามารถที่จะเฉลี่ยและโยกย้ายรายได้ ค่าใช้จ่าย หรือสินทรัพย์ระหว่างบริษัทร่วมต่างๆ เหล่านั้นได้ สิ่งที่น่าสนใจจากการศึกษา คือ สัดส่วนของนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย กลับไม่สามารถชี้นำได้เลยว่า บริษัทกำลังเข้าแผนฟื้นฟู แสดงว่า บริษัทที่กำลังเข้าแผนฟื้นฟู อาจมีการเฉลี่ยและโยกย้ายรายได้ รายจ่าย หรือสินทรัพย์ได้อย่างแนบเนียน จนกระทั่งหลอกนักลงทุนสถาบันได้

กรณีที่ห้า การที่บริษัทจ่าย Stock Dividends หรือหุ้นปันผล แทนที่จะจ่ายเป็นเงินสดปันผล (Cash Dividends) ซึ่งในทางการเงินถือว่า การจ่ายหุ้นปันผล จะก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของจำนวนหุ้น (Share Outstanding) ซึ่งอาจเกิดการลดลงของกำไรต่อหุ้น (Earnings Dilution) ซึ่งราคาของบริษัทที่จ่ายหุ้นปันผลอาจจะไม่ได้รับการตอบสนองที่เป็นบวกมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด

กรณีที่หก ราคาหุ้น มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง สำหรับบริษัทที่ลดการจ่ายเงินปันผล (Decreasing Dividend Payout Ratio) จากการศึกษาพบว่า ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงแล้ว ก่อนวันที่บริษัทจะประกาศจริง และจะปรับตัวลดลงถึงจุดต่ำสุดในวันที่ประกาศลดการจ่ายเงินปันผล จากนั้นราคาหุ้นมีแนวโน้มจะดีดกลับทันที นักลงทุนที่ชอบการเก็งกำไร สามารถซื้อหุ้นลักษณะนี้ เพื่อการเก็งกำไรในวันที่บริษัทประกาศลดการจ่ายเงินปันผลจริง เพื่อหวังการดีดกลับ ในทางกลับกัน ราคาหุ้นมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นถ้าบริษัทปรับเพิ่มการจ่ายเงินปันผล (Increasing Dividend Payout Ratio) และจากการศึกษาพบว่า ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนวันที่ประกาศจริง และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดในวันที่ประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผล หลังจากนั้นราคาจะปรับตัวลดลงทันที นักลงทุนที่ชาญฉลาดอาจจะถือจังหวะนี้ ขายทำกำไรได้ ซึ่งส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์นี้ สามารถอธิบายด้วยทฤษฎีทางการเงิน คือ โดยปกติ นักลงทุนสถาบันมีแนวโน้มที่จะลงทุนหุ้นปันผลอยู่แล้ว ตามหลัก Prudent rule man เพราะฉะนั้นนักลงทุนสถาบันจะมี Overweight Position การเพิ่มขึ้นของการจ่ายเงินปันผล กลับเป็นสิ่งกระตุ้นให้นักลงทุนสถาบันขายหุ้นออกมามากกว่าที่จะซื้อเพิ่ม เนื่องจากอาจจะมองว่าบริษัทไม่สามารถหาโครงการอื่นใดที่จะเพิ่มการเติบโต (Growth) ให้กับบริษัทได้ และบริษัทเลือกที่จะจ่ายเงินปันผลแทนที่จะหาโครงการใหม่ๆ

Signaling Theory (3)
กรณีที่เจ็ด : บริษัทที่มีความเสี่ยงในการเพิ่มทุนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบการขายหุ้นเฉพาะเจาะจง (Private Placement หรือการขายหุ้นแก่ประชาชนรอบสอง Public Offering) มักจะเป็นบริษัทที่มีอัตราส่วนของราคาหุ้นต่อราคาบัญชีต่อหุ้นสูง หรือ Price / Book value (P/BV) สูง นั่นเอง เนื่องจากในช่วงที่ราคา P/BV สูง เป็นช่วงที่นักลงทุนให้ Premiums หรือคะแนนพิเศษแก่ผู้บริหารของบริษัทสูงเป็นกรณีพิเศษ และเพิ่มโอกาสที่บริษัทนั้นจะออกหุ้นเพิ่มทุนในราคาที่ดีอีกด้วย แต่ถ้าบริษัทมีอัตราส่วน Price per share ใกล้เคียงกับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น บริษัทมีแนวโน้มที่จะเลือกการเพิ่มทุนแบบ Right issues หรือขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิมมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ จังหวะ และเวลาเพิ่มทุนควรจะพิจารณางบกระแสเงินสดของบริษัทอีกด้วย

กรณีที่แปด : บริษัทที่มีการแตก Par หรือ Par Split มักจะเกิดขึ้นกับบริษัทที่คิดว่าบริษัทตัวเองค่อนข้าง Under research โดยนักวิเคราะห์ จากการศึกษาพบว่าราคาหุ้นภายหลังการทำ Stock split มักให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติประมาณ 8% ในปีแรก และประมาณ 12% ในช่วงระยะเวลา 3 ปี

กรณีที่เก้า : หุ้นที่มีการซื้อหุ้นคืนโดยใช้เงินบริษัทผ่านโครงการซื้อหุ้นคืน หรือ Stock repurchase ซึ่งการซื้อหุ้นคืนแบบนี้ ทางตลาดหลักทรัพย์จะต้องให้บริษัทขายหุ้นคืนกลับภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าบริษัทไม่สามารถขายหุ้นคืนได้ภายในกำหนด บริษัทจะต้องลดทุนจดทะเบียนตามจำนวนหุ้นที่บริษัทได้ทำ Stock repurchase การทำ Stock repurchase ถึงแม้ว่าจะเป็นการเพิ่มกำไรต่อหุ้น (EPS หรือ Earnings per share) วิธีหนึ่ง เนื่องจากจำนวนหุ้นได้ลดลง
แต่นักลงทุนสถาบันอาจคิดว่าบริษัทไม่สามารถทำโครงการอื่นที่เพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นได้ นักลงทุนสถาบันอาจจะไม่สนใจบริษัทที่ทำ Stock repurchase มากนัก เนื่องจากสภาพคล่องของหุ้นจะลดลง
จากการศึกษาพบว่า บริษัทที่มีการทำ Stock repurchase และมีมูลค่าราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีต่ำ (Price per book value ต่ำ) ต่ำกว่า 0.7 เท่า บริษัทนั้นจะมีแนวโน้มที่จะ Outperform ในระยะยาว เพราะฉะนั้นนักลงทุนควรจะสนใจหุ้นที่ทำการ Repurchase และมี Price / Book value ในราคาต่ำ

กรณีที่สิบ : บริษัทที่มีการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือเราเรียกว่า Initial public offering หรือตัวย่อว่า IPO จากการศึกษาในแง่ของ Behavior Finance พบว่า IPO ที่จะมี Outperform (ให้ผลตอบแทนสูง) หรือ Underperform (ให้ผลตอบแทนต่ำ) จะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ คือ
ปัจจัยที่หนึ่ง : จำนวนบริษัทที่มีการทำ IPO ในช่วงนั้น ถ้ามีจำนวนบริษัทที่มีการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นจำนวนมากหลายบริษัท ผลตอบแทนในวันแรกของ IPO (First day return) มีแนวโน้มจะไม่ดี ในทางจิตวิทยาสามารถอธิบายถึงว่านักลงทุนมีการรีบขายทำกำไรในหุ้น IPO นั้น เพื่อรีบจองซื้อหุ้น IPO ใหม่ทันที จากการศึกษาก็ยังพบอีกว่าหุ้น IPO ที่ให้ผลตอบแทนสูงในวันแรกของการซื้อขาย (First day trading) มักจะปรากฏในช่วงที่มีหุ้น IPO เสนอขายออกมาน้อย ทำให้ไม่มีการแบ่งเม็ดเงินกันและกัน
ปัจจัยที่สอง : Demand และ Supply (อุปสงค์และอุปทาน) ของหุ้น IPO นั้น จากทฤษฎีของ Behavior Finance พบว่าหุ้น IPO ที่เสนอขายในราคาต่ำสุดของช่วง Book build range หุ้น IPO ตัวนั้นมีแนวโน้มจะ Underperform ซึ่งสามารถอธิบายในเชิงของ Low demand หรือความต้องการต่ำ แต่ถ้าหุ้น IPO ตัวไหนถูกเสนอขายที่ราคาสูงสุดของช่วง Book build range หุ้น IPO นั้นมีแนวโน้มจะ Outperform
ปัจจัยที่สาม : จากการซื้อหุ้น IPO ที่ถูกเสนอขายในราคาที่ Price / Book value ใกล้เคียงกับหุ้นในกลุ่ม คือ ไม่มี Discount (ส่วนลด) ให้แก่นักลงทุน หุ้น IPO นั้นมีแนวโน้มที่จะ Underperform ในระยะยาวนั่นเอง กล่าวโดย สรุป นักลงทุนต่างเลือกหุ้น IPO ที่มี Price per share / Book value per share ที่มีส่วนลดจากกลุ่ม ผมต้องขออนุญาตเน้นว่า Price per share / Book value per share นะครับ ไม่ใช้ Price per share / Earning per share หรือ P/E เพราะกำไรต่อหุ้นของหุ้น IPO มักจะมีความผิดพลาดสูงในการคาดการณ์ครับ

บทเรียนเรื่องหุ้นจากเจมส์บอนด์

MIF Lab : ดร.อาณัติ ลีมัคเดช
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมมีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่องเจมส์บอนด์ตอนล่าสุดมาครับ ซึ่งต้องชมผู้สร้างที่สามารถสร้างมาได้ถึง 21 ตอนแล้ว ทั้งๆ ที่คนเขียนนิยายคือคุณเอียน เฟลมมิ่ง แกยังเขียนไม่ถึงเลยครับ
ตอนล่าสุดนี้ก็เลยต้องเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่คือตอน Casino Royale ที่คุณลุง Sean Connery แกเล่นไว้ในฐานะเจมส์บอนด์รุ่น 1


เสน่ห์ของผู้ทำภาพยนตร์เรื่องนี้ คือเขาจะใส่มุขที่ทันกับโลกที่เปลี่ยนไปจากยุคที่เอียน เฟลมมิ่งเขียนไว้ตลอดเวลา เช่นผู้ร้ายในภาคหลังๆ กลายเป็นเกาหลีเหนือ หรือเจ้าพ่อมีเดีย ซึ่งในยุคของเอียน เฟลมมิ่ง เขาคงคิดไม่ออกเหมือนกันว่าเกาหลีเหนือนี่จะกลายมาเป็นคู่ปรับของมหาอำนาจได้อย่างไร
เจมส์บอนด์ ตอนนี้ก็เช่นกัน คู่ปรับของบอนด์ตอนนี้คือนายธนาคารครับ ตาหัวหน้าใหญ่คือ มิสเตอร์ไวท์ นี่ก็ท่าทางเหมือนคุณลุงนายแบงก์ทั่วไปที่เราเห็น แต่มุมมองของผู้สร้างหนัง เขาคงคิดว่านี่ละร้ายสุดในยุคนี้แล้วก็ได้

ตาลุงคนนี้แกทำงานในองค์กรลับ (ซึ่งอาจเป็นบริษัทตั้งอยู่ที่เกาะสักแห่งที่อนุญาตให้ทำ Offshore Banking) และทำหน้าที่ให้คำแนะนำการลงทุนให้กับลูกค้า VIP ซึ่งได้แก่บรรดาผู้ก่อการร้าย คณะปฏิวัติทั้งหลายแหล่ โดยแกได้ Outsource งานจัดการกองทุนให้กับผู้ร้ายอีกคนหนึ่งนามว่าเลอชีฟร์ ผู้มีภรรยาหุ่นดี ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะสวยด้วย แต่ผู้ชมจะไม่ใคร่สังเกตหน้าเธอนัก เพราะเธอมักจะโผล่มาด้วยเครื่องแต่งกายอันชวนให้หันไปพิจารณาส่วนอื่นที่ไม่ใช่หน้า

หนังแนะนำตัวผู้ร้ายโดยตัดฉากมาที่ค่ายผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่ง (ซึ่งถ้าปฏิวัติสำเร็จ จะกลายเป็นผู้ก่อการดี) มิสเตอร์ไวท์ได้แนะนำตาเลอชีฟร์ให้หัวหน้าผู้ก่อการร้ายรู้จัก และมอบเงินดอลลาร์หลายกระเป๋าให้ตาเลอชีฟร์ดูแล ความต้องการของหัวหน้าผู้ก่อการร้ายคือแกต้องการเพียงแค่ให้ดูแลเงินแกโดยเอาไปลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง เช่นซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพราะแกย้ำหนักหนาว่าอย่าเอาไปเล่นหุ้น พร้อมทำท่าโหดๆ คล้ายส่งซิกว่า “ถ้าแกทำเงินฉันสูญ เป็นโดนเชือด”

แต่วัตถุประสงค์สำคัญคือให้ตาเลอชีฟร์อำนวยความสะดวกในการเบิกจ่ายเงินของแกได้ทั่วโลกมากกว่าเน้นผลตอบแทน ซึ่งพวกผู้ก่อการร้ายนี่ก็ต้องใช้เงินซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มาใช้เหมือนกัน จึงต้องใช้บริการผ่านนายแบงก์พวกนี้ ที่ไหนได้ พอตาเลอชีฟร์รับเงินมาปั๊บก็ใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมโทรหาโบรกเกอร์ของแกให้ Short หุ้นบริษัทผลิตเครื่องบินแห่งหนึ่งในอเมริกาทันทีเลย ถึงจุดนี้ขออธิบายท่านผู้อ่านก่อนครับว่าการ Short หุ้นนั้น คือการขายหุ้นโดยที่เราไม่มีหุ้นในมือ โบรกเกอร์ของเราจะยืมหุ้นมาให้เราขายก่อนที่ราคาตลาดขณะนั้น โดยเรามีสัญญาว่าต้องไปซื้อหุ้นมาใช้ภายในกำหนดพร้อมค่าธรรมเนียม
คนที่ทำธุรกรรมแบบนี้ คือนักเก็งกำไรที่คาดว่าหุ้นที่ตนเอง Short นั้นจะตกลงในอนาคตอันใกล้ เมื่อถึงเวลาหุ้นตกจริงก็จะเข้าไปซื้อหุ้นที่ราคาตกแล้วมาคืน กินส่วนต่างจากราคาสูงตอนที่ Short และราคาต่ำตอนที่ซื้อคืนเป็นกำไรสบายแฮ แต่ถ้าหุ้นไม่ตก แถมขึ้นต่อก็ซวยไป ในตลาดหลักทรัพย์ของไทย เราอนุญาตให้นักลงทุน Short หุ้นได้แล้วนะครับ ใครสนใจดูรายละเอียดที่เวบไซต์ตลาดหลักทรัพย์
โบรกเกอร์ที่รับสายพยายามบอกว่าหุ้นที่ตาเลอชีฟร์สั่ง Short นั้นกำลังอยู่ในขาขึ้น แต่ถูกดุว่าไปทำตามที่สั่ง อย่าเจ๋อ จึงเงียบไป

ปรากฏว่าแผนของตาเลอชีฟร์นี่ซับซ้อนมาก กล่าวคือแกได้ Outsource งานชิ้นหนึ่งให้แก่ผู้ร้ายอีกคนให้ไปจัดหามือระเบิดเพื่อไปวางระเบิดเครื่องบินของบริษัทที่แก Short หุ้นไว้ บริษัทนี้กำลังจะเปิดตัวเครื่องบินซูเปอร์จัมโบ้รุ่นใหม่ที่สนามบินไมอามี ซึ่งตานี่ก็ได้ไป Outsource งานต่อให้กับมือระเบิด
เจ้ามือระเบิดคนแรกซึ่งมีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับ จา พนม ถูกเจมส์บอนด์ตามล่าในตอนเปิดเรื่อง โดยเจมส์บอนด์ได้สั่งลูกน้องว่าต้องจับเป็นเพื่อเอามารีดหาผู้บงการ แต่พอลูกน้องพลาด เจมส์บอนด์จึงต้องแสดงฝีมือ “จับเป็น” ด้วยการขับรถแทรกเตอร์ไล่พังไซต์ก่อสร้าง ใช้ร่างเจ้ามือระเบิดเป็นโล่กันกระสุนให้ หรือใช้เป็นที่เปิดหน้าต่าง กล่าวคือเวลาแกจะหนีโดดหน้าต่างลงมา แกจะทุ่มเจ้านี่เปิดทางไปก่อนแล้วค่อยกระโดดตามลงไป (คงจะเห็นว่ามันอึดดี ไม่น่าตายง่ายๆ)

จุดนี้ผู้ชมไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะดูบทบู๊ดุเดือดเหลือเกิน เสี่ยเจียงน่าจะไปจ้างเจ้านี่มาเป็นคู่ปรับ จา พนม คราวหน้านะครับ พอทำท่าว่าจะจับเป็นเจ้านี่ไม่ได้เสียแล้ว เจมส์บอนด์เลยต้องวิสามัญฆาตกรรมมันในสถานทูต เดือดร้อนให้พวกผู้ร้ายต้องไปหามือระเบิดรับจ้างคนใหม่ ซึ่งเจมส์บอนด์ได้ไล่ล่าในสนามบินไมอามี จนสามารถยุติแผนการวางระเบิดเครื่องบินได้

ถึงตอนนี้ ผู้ชมถึงได้บางอ้อว่าตาเลอชีฟร์แกจ้างพวกมือระเบิดมาหลังจากแก Short หุ้นบริษัทเครื่องบิน เพื่อให้ราคาหุ้นบริษัทเครื่องบินตกลงนั่นเองหากระเบิดเครื่องบินได้สำเร็จ แกจะได้ไปช้อนซื้อถูกๆ มาคืน ฟาดกำไรอื้อจากเงินลงทุนของผู้ก่อการร้าย หนังพยายามสร้างสมมติฐานไปอธิบายเหตุการณ์ 11 กันยา ด้วยว่าก่อนที่เครื่องบินจะถูกจี้ไปชนตึกเวิลด์เทรด มีมือมืด Short หุ้นสายการบินไว้อื้อเหมือนกัน
แม้การ Short หุ้นจะถูกกฎหมาย แต่การสร้างราคาหุ้นนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมายในทุกประเทศ มีงานวิจัยหลายชิ้นที่อธิบายพฤติกรรมนี้ครับ สำหรับผู้เริ่มต้นศึกษา ผมขอแนะนำงานวิจัยของ Allen and Gale เรื่อง “Stock Price Manipulation” ซึ่งตีพิมพ์ใน Review of Financial Studies ตั้งแต่ปี 1992 ในบทความนี้ทั้งคู่ได้จำแนกประเภทการสร้างราคาหุ้นเป็น 3 ประเภท

หนึ่ง Action-based เป็นการสร้างราคาหุ้น โดยพวกผู้ร้ายมีการดำเนินการประกอบด้วย เช่นผู้บริหารบริษัท Short หุ้นไว้ แล้วหาเรื่องประกอบการให้ขาดทุน พอหุ้นตกก็เข้ามาซื้อคืน แล้วปรับการบริหารมาเป็นปกติ เหตุการณ์ในเจมส์บอนด์เข้าข่ายนี้ แม้จะไม่ใช่ผู้บริหารเป็นคนทำก็ตาม
สอง Information-based อันนี้เป็นยุทธการปล่อยข่าวลือ ทั้งด้านบวกหรือลบ แล้วแต่ว่าต้องการให้ราคาหุ้นเปลี่ยนไปทางใด
สาม Trade-based เป็นการสร้างราคาโดยขาใหญ่ที่ไม่ใช่ผู้บริหาร แต่อาศัยว่ามีทุนมาก สามารถใช้วอลุ่มการซื้อขายหุ้นของตนกำหนดให้ราคาเปลี่ยนไปในทางที่ต้องการได้ งานวิจัยของ Allen and Gale เน้นอธิบายการสร้างราคาหุ้นประเภทนี้ ซึ่งผมมีลางสังหรณ์ว่าไทยเรามีการสร้างราคาหุ้นประเภทนี้มากที่สุด แต่จับมือใครดมไม่ได้ หากผู้เกี่ยวข้องกับการจับผู้ร้ายได้อ่านงานวิจัยนี้แล้ว ผมเชื่อว่าน่าจะเกิดไอเดียในการหาหลักฐานมาจับผิดพวกผู้ร้ายได้มากขึ้น

วันจันทร์, ตุลาคม 30, 2549

การสร้างหมวดหมู่ในฐานข้อมูลความรู้ (Knowledge Base)

บทความนี้ จะพูดถึงเกี่ยวกับการสร้างหมวดหมู่ หรือที่ภาษา Software เราเรียกว่า Knowledge Base Category

การจัดการฐานข้อมูลความรู้ มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ การจัดหมวดหมู่ของความรู้ (Category) ให้เหมาะสมกับการใช้งานขององค์กรจริงๆ เพื่อให้ User ที่ใช้งานได้ทราบว่าเขาจะไปอ่านข้อมูลความรู้เพิ่มเติมที่ต้องการนี้ได้จากหมวดหมู่ไหน (ในกรณีที่ User ต้องการดูข้อมูลความรู้เพิ่มเติมนอกเหนือความรู้ที่ได้จากการใช้วิธี Search) แน่นอนการเริ่มต้นสร้างหมวดหมู่ในครั้งแรก ไม่มีทางสมบูรณ์แบบตั้งแต่วันแรก จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเพิ่มเติม ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตามธุรกิจ (BusinessChange เพราะธุรกิจเปลี่ยนแปลงบ่อย) ดังนั้น การเลือก Software Knowledge Management สำหรับมาใช้ในองค์กรควรจะดูว่ามี่ Feature ที่อนุญาตให้ User สามารถเปลี่ยนแปลงชื่อของหมวดหมู่ได้โดยไม่กระทบกับตัวเนื้อหาของความรู้ (Knowledge Base)รวมทั้งสามารถย้ายหมวดหมู่เดิมให้ไปอยู่ภายใต้หมวดหมู่ใหม่ได้ เนื่องเพราะว่า User จะได้ไม่ต้องไปสร้างเนื้อหาในหมวดหมู่ใหม่นั้นทั้งหมด เพียงแค่ย้ายหมวดหมู่ข้อมูลความรู้เดิมก็สามารถย้ายไปได้ทันที โดยไม่ต้องมาลบและสร้างใหม่ทีละอัน


BusinessChange
เพราะธุรกิจเปลี่ยนแปลงบ่อย

นอกจากนี้ Feature ที่สำคัญที่ควรจะมีอีกอันหนึ่งของ Software เกี่ยวกับการสร้างหมวดหมู่ หรือ Category ของ Knowledge Base คือควรจะให้สามารถบันทึกคำที่เกี่ยวข้อง หรือ Keyword ของหมวดหมู่นั้นได้ด้วย เพราะว่าเวลาระบบ Knowledge Search (สำหรับบาง Software ที่ฉลาดหน่อย) ทำการค้นหาจะสามารถแนะนำให้กับ User ได้ว่าคำที่ User นั้นต้องการ อาจจะอยู่ในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องนี้ได้ อันนี้จะมีประโยชน์มากสำหรับองค์กรที่มี Knowledge Base Category ที่ค่อนข้างเยอะเหมือน Yahoo ทำให้ Use สับสนและงงได้ว่าฉันจะค้นหาหมวดไหนดี เราสามารถให้ระบบแนะนำได้ว่า Keyword ที่ค้นหาอาจจะพบในหมวดหมู่นี้